|    พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร 
                      ( พระแก้วมรกต ) 
 
  
 สถานที่ประดิษฐาน 
                              พระอุโสถ 
                      วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                        ศิลปะเชียงแสนสิงห์หนึ่ง
 ปางสมาธิ 
                      ขัดสมาธิราบ
 ขนาดหน้าตักกว้าง 
                      ๑๙ นิ้ว สูงจากฐานถึงพระรัศมี ๒๘ นิ้ว
 วัสดุ 
                      แก้วผลึกสีเขียว
 
 พระพุทธมหาณีรัตนปฏิมากรเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่และสำคัญยิ่ง 
                      เรื่องราวของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่
 ปรากฏชัดเจนในพงศาวดารเริ่มที่ราวพุทธศักราช ๑๙๗๘ ในรัชสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนแห่งอาณาจักรล้านนา 
                      เมื่อพระสถูป
 ใหญ่โตเก่าแก่องค์หนึ่งของเมืองเชียงราย (ปัจจุบันคือวัดพระแก้ว 
                      อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย) ถูกฟ้าผ่าทลายลง พบว่ามีพระ
 พุทธรูปลงรักปิดทองอยู่ภายใน เมื่ออัญเชิญไปประดิษฐานในพระวิหารได้ไม่นานปูนปั้นที่ปลายพระนาสิกกระเทาะออกเห็นเป็น
 แก้วสีเขียวจึงมีการแกะปูนที่ลงรักปิดทองหุ้มองค์พระออกจนหมดก็ปรากฏเป็นพระพุทธรูปแก้วทึบทั้งแท่งงามบริสุทธิ์สมบูรณ์ 
                      คุณลักษณะพิเศษขององค์พระปฏิมาที่สร้างขึ้นจากแก้วผลึกสีเขียวงดงามราวกับมรกตผนวกกับการค้นพบอย่างอัศจรรย์ทำให้
 พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรเป็นที่เลื่อมใสบูชาของประชาชนทั่วไปรวมทั้งบรรดาผู้ครองเมืองต่างๆ 
                      จึงปรากฏว่าในช่วงระยะ
 เวลากว่าสามร้อยปีจากนั้นมาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ 
                      ณ เมืองสำคัญหลายเมือง อาทิ
 ลำปาง เชียงใหม่ หลวงพระบางและเวียงจันทน์
 ครั้นถึงพุทธศักราช 
                      ๒๓๒๑ ในสมัยกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเมื่อยังเป็นสมเด็จเจ้า
 พระยามหากษัตริย์ศึก เสด็จนำทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรลงมายังกรุงธนบุรี 
                      เมื่อเสด็จ
 เถลิงถวัลยราชสมบัติโปรดฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
 ซึ่งเป็นพระอารามในเขตพระราชฐานเมื่อวันจันทร์เดือน ๔ แรม 
                      ๑๔ ค่ำ ปีมะโรง พุทธศักราช ๒๓๒๗ เป็นที่ปฏิบัติบูชาของ
 พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์สืบมาจนทุกวันนี้
 
 
  พระพุทธสิหิงค์ 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                              พระที่นั่งพุทไธศวรรย์ภายในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
 พุทธลักษณะ 
                                        ศิลปะลังกา
 ปางสมาธิ 
                      ขัดสมาธิราบ
 ขนาด 
                      หน้าตักกว้าง ๖๖ เซนติเมตร สูง ๙๑ เซนติเมตร
 วัสดุ 
                      สำริด
 
 เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยกษัตริย์องค์หนึ่งของลังกา 
                      ได้มีการอัญเชิญมายังกรุงสุโขทัยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำ
 แหงมหาราช เมื่อกรุงสุโขทัยตกอยู่ใต้อำนาจกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 
                      ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) ได้ทรงอัญเชิญ
 พระพุทธสิงหิงค์มาประดิษฐาน ณ กรุงศรีอยุธยา
 พระพุทธสิงหิงค์เป็นพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งที่ผู้ครองเมืองทั้งหลายปรารถนาที่จะได้ไว้เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง 
                      จึงปรากฏตามประวัติว่าได้มีการอัญเชิญพระพุทธสิงหิงค์ย้ายไปมาระหว่างกรุงศรีอยุธยากับเมืองเชียงใหม่สุดแต่สถานการณ์
 ์และอำนายทางการเมืองจนกระทั่งในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เมื่องเชียงใหม่เจ้ารวมอยู่ในการปกครองของกรุงเทพฯ 
                      สมเด็จ
 พระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมาประดิษฐานฯ 
                      ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ใน พระบวรราชวัง
 เมื่อปี ๒๓๓๘
 เมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทสวรรคต 
                      พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดฯ ให้
 อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม 
                      จนถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า
 เจ้าอยู่หัวทรงอัญเชิญกลับมายังพระบวรราชวังด้วยพระราชประสงค์จะปราดิษฐาน 
                      ณ พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาสซึ่ง
 เป็นวัดในเขตพระราชฐานที่กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงแต่เสด็จสวรรคตเสียก่อนพระพุทธสิหิงค์จึงประดิษฐานอยู่ 
                      ณ พระที่
 นั่งพุทไธสวรรย์สืบมาจนปัจจุบัน
 
 
  พระพุทธสิหิงค์ 
                      ( เชียงใหม่ ) 
 
  
 สถานที่ประดิษฐาน 
                              วิหารลายคำ 
                      วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร ตำบงพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
 พุทธลักษณะ 
                                       ศิลปะเชียงแสนสิงห์หนึ่ง
 ปางมารวิชัย 
                      ขัดสมาธิเพชร
 ขนาด 
                      หน้าตักกว้าง ๑ เมตร
 วัสดุ 
                      สำริด ลงรักปิดทอง
 
 เมื่อพุทธศักราช 
                      ๑๙๕๐ ขณะเมื่อพระพุทธสิหิงค์ยังประดิษฐานอยู่ ณ เมืองเชียงราย 
                      เชียงรายกับเชียงใหม่เกิดการรบ
 พุ่งกันขึ้นเชียงใหม่เป็นฝ่ายชนะ พระเจ้าแสนเมืองมาแห่งนครเชียงใหม่จึงโปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มายังเชียงใหม่โดย
 ล่องเรือมาตามลำน้ำปิง
 เรือที่อัญเชิญพระพุทธสิงหิงค์มาเทียบท่าขึ้นฝั่งยังนครเชียงใหม่ที่ท่าวังสิงห์คำขณะเชิญขึ้นพระดิษฐานบนบุษบก
 ปรากฏรัศมีจากองค์พระเรืองรองเป็นลำไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไกลถึง 
                      ๒๐๐๐ วา ต่อมาจึงได้มีการสร้างวัดขึ้น ณ ที่นั้น
 ได้ชื่อตามเหตุอัศจรรย์ในครั้นนั้นว่า วัดฟ้าฮ่าม ซึ่งหมายถึงฟ้าอร่ามนั่นเอง
 แต่แรกนั้นพระเจ้าแสนเมืองมาตั้งพระทัยจะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานยังวัดสวนดอกซึ่งตั้งอยู่นอกเวียงออก
 ไปทางทิศตะวันตก แต่เมื่อชักลากบุษบกไปถึงวัดสีเชียงพระก็มีอันติดขัดไม่อาจลากต่อไปได้ 
                      พระเจ้าแสนเมืองมาถือเป็นศุภนิมิตร
 จึงโปรดให้สร้างมณฑปขึ้น ณ วัดลีเชียงพระและประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ไว้ 
                      ณ วัดนั้น
 เมื่อพระพุทธสิหิงส์ประดิษฐานอยู่ 
                      ณ วัดลีเชียงพระ ความศรัทธาเลื่อมใสของชาวเมืองที่มีต่อพระพุทธรูปองค์นี้ทำให
 ้ชาวเมืองเชียงใหม่พากันเรียกชื่อวัดตามนามพระแต่เนื่องจากชาวเมืองเรียกนามพระพุทธสิหิงค์กร่อนเป็นพระสิงห์ 
                      วัดพระพุทธ
 สิหิงค์จึงกลายมาเป็นวัดพระสิงห์ดังเช่นทุกวันนี้
 
 
  พระพุทธสิหิงค์ ( นครศรีธรรมราช 
                      ) 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                             หอพระพุทธสิหิงค์ 
                      ในบริเวณศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช
 พุทธลักษณะ 
                                       ศิลปะแบบขนมต้ม 
                      (สกุลช่างนครศรีธรรมราช)
 ปางมารวิชัย 
                      ขัดสมาธิเพชร
 ขนาด 
                      หน้าตัดกว้าง ๑๔ นิ้ว สูง ๑๖.๘ นิ้ว
 วัสดุ 
                      สำริด
 
 พระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราชมาช้านานชาวนครศรีธรรมราชเชื่อกันว่าพระพุทธรูปนี้
 คือ พระพุทธสิหิงค์องค์ที่ปรากฏเรื่องราวตาม สิหิงคนิทาน 
                      หรือตำนานของพระพุทธสิหิงค์ เนื่องจากมีความที่ระบุเรื่องราว
 เกี่ยวข้องกับเมืองนครศรีธรรมราชอยู่ กล่าวคือ พ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัยได้ทรงทราบกิติศัพท์เกี่ยวกับพระพุทธสิหิงค์
 จึงโปรดให้พระยานครศรีธรรมราชแต่งทูตอัญเชิญพระราชสาส์น ไปขอประทานพระพุทธสิหิงค์จากกษัตริย์ลังกา 
                      ซึ่งพระเจ้า
 กรุงลังกาก็ถวายให้สมพระราชประสงค์จึงได้มีการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์เข้ามายังดินแดนไทยโดยผ่านทางนครศรีธรรมราช
 ซึ่งเป็นเมืองที่มีการติดต่อสัมพันธ์อยู่กับลังกาอย่างใกล้ชิด 
                      ตามตำนานนั้นว่าพ่อขุนรามคำแหงเสด็จไปรับพระพุทธสิหิงค์ถึงยัง
 นครศรีธรรมราชด้วยพระองค์เอง
 พระพุทธสิหิงค์เป็นที่เลื่อมใสเคารพบูชาในหมู่ชาวภาคใด้โดยเฉพาะชาวนครศรีธรรมราชเป็นอย่างยิ่งว่ากันว่าผู้ทุจริต
 คิดมิชอบทั้งหลายจะไม่กล้าสาบานต่อหน้าองค์พระเลย หลังจากที่ได้อัญเลิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานที่ศาลากลางจังหวัด
 แล้วคดีความที่จะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด 
                      เนื่องจากมักมีการเอ่ยอ้างนามพระพุทธสิหิงค์ในการสาบานตัว 
                      ทำให้ไม่มีใครกล้าเบิกความเท็จ
 มีการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ออกให้ประชาชนสรงน้ำในเทศกาลสงกรานต์เป็นประจำทุกปี
 
 
  พระพุทธชินราช 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                             พระวิหาร วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร 
                      อำเภอเมือง พิษณุโลก
 พุทธลักษณะ 
                                      ศิลปะสุโขทัย 
                      ปางมารวิชัย
 ขนาดหน้าตักกว้าง 
                      ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว สูง ๗ ศอก
 วัสดุ 
                      สำริดลงรักปิดทอง
 
 พิษณุโลกเป็นเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาแต่โบราณจึงมีโบราณสถานโบราณวัตถุให้เที่ยวชมจำนวน
 มาก ในขณะเดียวกันก็เป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ 
                      เช่น ป่า เขาและน้ำตกที่งดงามมีชื่อเสียงให้เลือกเที่ยวกับตาม
 อัธยาศัย แต่มีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งนักเดินทางไม่ว่าจะมาเที่ยวแบบใดจะต้องมุ่งไป 
                      คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุหรือที่ชาวเมือง
 เรียกขานกันว่า วัดใหญ่ วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านในบริเวณตัวเมือง 
                      เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชพระพุทธรูปที่ได้รับ
 ยกย่องว่างามที่สุดองค์หนึ่งของไทย
 พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปโบราณ 
                      สันนิษฐานว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทโปรดให้สร้างขึ้นในคราวเดียว
 กับพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาครั้นสถาปนาเมืองพิษณถุโลกเป็นเมืองลูกหลวงในพุทธศักราช 
                      ๑๙๐๐ พระพุทธชินราชคือ
 ประจักษ์พยานถึงความสูงส่ง ทางฝีมือและความฉลาดลึกซึ้งของช่างในยุคนั้น 
                      นอกจากองค์พระจะงดงามโดยพุทธลักษณะคือ
 เป็นการนำเอาลักษณะที่งามตามแบบอย่างพระพุทธรูปสุโขทัยกับเชียงใหม่มาผสมผสานกันอย่างลงตัวแล้วการประดิษฐานองค์
 พระในจุดที่พอดีทั้งเรื่องแสงเงาและมุมมองยังมีส่วนสำคัญให้เราได้รับความงามนั้นอย่างเต็มที่ 
                      เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรง
 ราชานุภาพเสด็จมานมัสการพระพุทธชินราชครั้นแรกในปี ๒๔๓๕ ทรงบันทึกไว้ว่า 
                      
เวลานั้นยังมิได้ปฏิสังขรณ์แก้ไขพระ
 วิหารให้สว่างอย่างทุกวันนี้พอไปถึงประตูวิหารแลเข้าไปข้างใน 
                      ดูที่อื่นมืดหมดเห็นแต่องค์พระชินราชตระหง่านงามเหมือนลอย
 อยู่ในอากาศ เห็นเข้าก็จับใจเกิดเลื่อมใสในทันที เพราะเขาทำช่องแสงสว่างเข้าทองประตูใหญ่ด้านหน้าแต่ทางเดียว 
                      พระชินราช
 ตั้งอยู่ข้างในตรงประตูและเป็นของปิดทอง จึงแลเห็นก่อนสิ่งอื่นในวิหาร
 
                      ต่อมาได้มีการเจาะหลังคาวิหารให้แสงสว่างเข้าได้
 มากขึ้น ซึ่งกลับทำให้องค์พระไม่เด่นเข่นที่เป็นมาแต่โบราณ 
                      อีกประการหนึ่งได้แก่การกำหนดตั้งองค์พระให้หน้าตักอยู่ในระดับ
 สายตาในวิหารซึ่งมีรูปทรงยาว เปรียบประดุจกล้องส่องกำกับระยะการมองให้ได้คมชัดที่ช่วยให้เราเห็นความงามได้เต็มที่ 
                      ข้อนี้
 ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่าหากพระพุทธชินราชไปประดิษฐานฯอยู่ในวิหารสั้นๆ 
                      และองค์พระตั้งอยู่สูงจนต้องแหงนหน้าดู จะไม่งามได้
 เท่าที่เป็นอยู่นี้
 
 
  พระพุทธชินสีห์ 
 
  
 สถานที่ประดิษฐาน 
                               พระอุโบสถ 
                      วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรมหาวิหาร
 ริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ 
                      กรุงเทพมหานคร
 พระพุทธลักษณะ 
                                  ศิลปะสุโขทัยผสมเชียงแสน
 ปางมารวิชัย
 ขนาด 
                      หน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๔ นิ้ว
 วัสดุ 
                      สำริด ลงรักปิดทอง
 
 พระพุทธชินสีห์เป็นพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งในกระบวนพระพุทธรูปที่อัญเชิญลงมาจากหัวเมืองฝ่ายเหนือในสมัย
 กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่เชื่อกันว่าพระมหาธรรมราชาลิไทแห่งกรุงสุโขทัยโปรดให้สร้างขึ้นที่เมืองพิษณุโลก
 คราวเดียวกันกับพระพุทธชินราช แล้วให้ประดิษฐานไว้ที่พระวิหารทิศเหนือ 
                      วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลกสืบมาเป็นเวลา
 หลายร้อยปี
 ครั้นในรัชกาลที่ 
                      ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธชินสีห์ชำรุดทรุดโทรมขาดผู้รักษาดูแล 
                      สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพจึงโปรดให้อัญเชิญมายังกรุงเทพมหานคร 
                      เพื่อประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศที่ทรง
 ปฏิสังขรณ์
 พระพุทธชินสีห์นั้นเป็นพระพุทธรูปที่ชาวพิษณุโลกและชาวเมืองเหนือเคารพบูชาอย่างยิ่งองค์หนึ่ง 
                      ในคราวที่อัญเชิญ
 พระพุทธชินสีห์ลงมากรุงเทพฯในปี ๒๓๗๒ นั้น มีบันทึกที่กล่าวถึงความรู้สึกของชาวเมืองไว้ว่า
 เมื่อเชิญออกจากวิหารนั้น 
                      ราษฏรพากันมีความเศร้าโศกร้องไห้เป็นอันมาก เงียบเหงาสงัดไปทั้งเมืองเหมือนศพลงเรือน
 แลแต่นั้นมาฝนก็แล้งไป ๓ ปี ชาวเมืองพิษณุโลกได้ความยากยับไปเป็นอันมาก 
                      ตั้งแต่พระพุทธชินสีห์ลงมาถึง กรมพระราชวัง
 บวรมหาศักดิพลเสพก็ทรงพระประชวรพระโรคมานน้ำได้ปีเศษก็เสด็จสวรรคต 
                      ราษฏรพากันกล่าวว่าเพราะเหตุที่ท่านไปเชิญ
 พระพุทธชินสีห์อันเป็นสิริของเมืองพิษณุโลกลงมา
 เมื่อแรกที่พระพุทธชินสีห์มาถึงยังวัดบวรนิเวศได้ประดิษฐานอยู่ 
                      ณ มุขหลังของพระอุโสถเดิมซึ่งทำเป็นจตุรมุข เมื่อ
 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งยังผนวชเสด็จมาครองวัดบวรนิเวศจะทรงสร้างพระเจดีย์จึงทรงเชิญพระพุทธชิน
 สีห์มาประดิษฐานในพระอุโบสถเพื่อรื้อมุขหลังสร้างพระเจดีย์ 
                      พระพุทธชินสีห์จึงประดิษฐานคู่กับพระสุวรรณเขตตราบจนทุก
 วันนี้
 
 
  พระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                               พระอุโบสถ 
                      วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร เสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                         ศิลปะรัตนโกสินทร์
 ปางมารวิชัย
 ขนาดหน้าตัด 
                      ๑๐ ศอก ๘ นิ้ว สูง ๔ วา ๑๘ นิ้ว
 วัสดุ 
                      สำริดลงรักปิดทอง
 
 วัดสุทัศนเทพวรารามสถาปนาขึ้นในช่วงปลายรัชกาลที่ 
                      ๑ เมื่อเสด็จสวรรคตการสร้างยังค้างอยู่อีกมาก จนสิ้นรัชกาลที่ 
                      ๒ ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ มีพระราชประสงค์จะสร้างให้ครบบริบูรณ์โปรดฯให้ศร้างพระอุโบสถสำเร็จ
 เมื่อปี ๒๓๗๗ แล้วโปรดฯให้กรมหมื่นณรงค์หริรักษ์หลอ่พระประธานเพื่อประดิษฐานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปาง
 มารวิชัยขนาดหนัก ๓ วา ๑๗ นิ้ว สูง ๔ วา ๑๘ นิ้ว จัดเป็นพะพุทธรูปหล่อใหญ่ที่สุดในกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดเวลาเกือบ 
                      ๒๐๐
 ปี (หากไม่นับรวมถึงพระศรีศากยะทศพลญาณฯ ที่พุทธมณฑลซึ่งเพิ่งจะแล้วเสริ๗ในรัชกาลปัจจุบัน)
 ในสมัยรัชการที่ 
                      ๔ ถวายพระนามพระพุทธรูปว่า พระพุทธตรีโลกเชฏฐ์และเนื่องจากทรงโปรดฯ 
                      ให้อัญเชิญพระศรี
 ศาสดาที่เคยประดิษฐานอยู่ด้วยกันกับพระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ไปไว้ยังวัดบรวนิเวศวิหาร 
                      จึงโปรดฯให้สร้าง พระอสีติมหาสาวก
 ขึ้นไว้แทน ดังนั้นในพระอุโบสถวัดสุทัศนฯนอกจากฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระประธานแล้วยังมีแท่นขนาดใหญ่จัดวางรูปปูนปั้น
 พระอสีติมหาสาวกรวม ๘ องค์นั่งพนมมืออยู่เบื้องหน้าพระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ด้วย
 
 
  พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                พระวิหาร 
                      วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                          ศิลปะสุโขทัย
 ปางมารวิชัย
 ขนาด 
                      ๖ ศอก ๕ นิ้ว สูง ๗ ศอก ๑ คืบ ๙ นิ้ว
 วัสดุ 
                      ทองคำเนื้อเจ็ดน้ำสองขา
 
 วัดโชตินารามหรือวัดพระยาไกรเป็นวัดที่พระยาโชฏึกราชเศรษฐี 
                      (เจ้าสัวบุญมา) สร้างขึ้นแล้วถวายเป็นพระอารามหลวง
 ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ครั้นเมื่อถึงสมัยประชาธิปไตยใหม่ๆ คือ 
                      ปี ๒๔๗๘ วัดนี้มีสภาพเป็นวัดร้าง จึงมีการอัญเชิญพระประธานซึ่ง
 เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่มาไว้ยังวัดสามจีน ต่อมาวัดสามจีนได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ 
                      มีการดำริที่จะสร้าง
 พระวิหารขึ้นเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปที่เชิญมาจากวัดพระยาไกร 
                      แต่จะยกพระขึ้นประดิษฐานอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่ง
 วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๔๙๘ มีฝนตกตอนใกล้รุ่ง พบว่าปูนตรงพระอุระแตกกะเทาะออกเห็นรักปิดทองอยู่ชั้นใน 
                      เมื่อกะเทาะ
 ปูนออกหมดก็พบว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำตลอดองค์ลักษณะงดงามสมบูรณ์เมื่อพิจารณาโดยพุทธลักษณะสันนิษฐานกันว่าเป็น
 พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยแต่เหตุใดจึงมาปรากฏอยู่ที่วัดพระยาไกรในลักษณะพระพุทธรูปปูนปั้นไม่มีผู้ใดทราบ
 แน่ชัด
 การพอกปูนปิดบังพระพุทธรูปเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยด้วยเจตนาจะซ่อนเร้นรักษาพระพุทธรูปสำคัญหรือล้ำค่าไว้ 
                      ในกรณีนี้
 นับว่าปูนที่พอกปิดอยู่ช่วยรักษาพระพุทธรูปทองล้ำค่าองค์นี้ให้รอดพ้นภัยพิบัติมาได้จนถึงปัจจุบันอย่างน่าอัศจรรย์ 
                      อนึ่งพบว่าที่
 ใต้ฐานทับเกษตรมีกุญแจกลสำหรับถอดองค์พระออกได้เป็น ๙ ส่วน 
                      ช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายองค์พระขึ้นประดิษฐานยังพระ
 วิหารได้สำเร็จ และผู้สร้างหรือผู้หล่อองค์พระได้ใส่ทองคำสำรองรวมทั้งมุกที่ใส่พระเนตรมาให้อย่างครบถ้วน 
                      นับเป็นการสื่อ
 สารข้ามศตวรรษระหว่างคนต่างยุคที่น่าอัศจรรย์อีกประการหนึ่ง
 พระพุทธรูปองค์นี้เป็นที่เรียกขานกันว่า 
                      พระสุโขทัยไตรมิตร และเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวต่างประเทศที่มุ่งมาชมอย่างเนื่อง
 แน่นทุกวันว่า Golden Buddha จนกระทั่งเมื่อปี ๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ 
                      โปรดเกล้าฯพระราชทานนาม
 พระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ซึ่งเป็นนามของพระพุทธรูปทองคำที่ปรากฏอยู่ในจารึกของพญาลิไทสมัย
 สุโขทัยซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปองค์นี้นั่นเอง
 
 
  พระพุทธเทวปฏิมากร 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                               พระอุโบสถ 
                      วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                         ศิลปะอยุธยา
 ปางสมาธิ
 ขนาดหน้าตัก 
                      ๕ ศอก คืบ ๔ นิ้วหรือ ๖๒ นิ้ว สูงถึงพระรัศมี ๗๙ นิ้ว
 วัสดุ 
                      สำริดลงรักปิดทอง
 
 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม 
                      หรือที่ชาวบ้านเรียกกันโดยทั่วไปว่าวัดโพธิ์ตามชื่อเดิมของวัดว่าวัดโพธารามนี้ 
                      ถือเป็นวัด
 ประจำรัชกาลในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาวัดนี้ขึ้นใหม่จากวัดที่มีอยู่เดิมโดยนับเป็นวัดที่
 สร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างราชธานี
 เมื่อสร้างพระอุโบสถแล้ว 
                      โปรดฯให้อัญเชิญพระประธานจากวัดศาลาสี่หน้าธนบุรีมาบูรณะแล้วประดิษฐานเป็นพระ
 ประธาน ได้ทรงทำพิธีบรรจุพระบรมธาตุแล้วถวายพระนามว่าพระพุทธเทวปฏิมากร 
                      และได้ทรงสร้างพัดแฉกขนาดใหญ่ถวาย
 ด้วย
 ต่อมาในรัชกาลที่ 
                      ๔ โปรดฯ ให้อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯที่พระเจ้าลูกเธอที่รับไปสักการะสิ้น
 พระชนม์แล้วขาดผู้พิทักษ์รักษามาบรรจุในพุทธอาสน์ของพระพุทธเทวปฏิมากร 
                      ที่ผ้าทิพย์ฐานชั้นบนจึงประดับลายอุณาโลมซึ่ง
 เป็นตราพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ รวมทั้งมีนพปฎลมหาเศวตรฉัตรประดับเหนือองค์พระด้วย
 วัดพระเชตุพนฯนับเป็นวัดสำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์วัดหนึ่ง 
                      พระพุทธเทวปฏิมากรก็เช่นเดียวกัน จึงได้รับการบูรณะ
 ปฏิสังขรณ์จากพระมหากษัตริย์ในพระราชจักรี วงศ์มาโดยตลอด ในรัชกาลปัจจุบันได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในโอกาส
 เฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษาเมื่อปี ๒๕๓๐ และรัชมังคลาภิเษกในปี 
                      ๒๕๓๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระ
 ราชศรัทธาถวายฉัตรผ้าตาดทอง ๙ ชั้นและถวายผ้าห่มตาดทองประดับพระปรมาภิไธยย่อ 
                      ภปร แด่พระพุทธเทวปฏิมากรด้วย
 ในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครสถลมารคหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 
                      พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะเสด็จ
 พระราชดำเนินยังพระอุโบสถวัดพระเชตุพนฯ ทรงนมัสการพระพุทธเทวปฏิมากร 
                      ทั้งนี้ถือเป็นธรรมเนียมจากที่พระบาทสมเด็จ
 พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติไว้เป็นปฐม
 
 
  พระพุทธธรรมิศราชโลกธาตุดิลก 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                               พระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม 
                      ราชวรมหาวิหาร ฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                         ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น
 ปางมารวิชัย 
                      ขัดสมาธิราบ
 ขนาด 
                      หน้าตัก ๑.๗๕ เมตร
 วัสดุ 
                      โลหะผสมทอง
 
 พระพุทธรูปองค์นี้จัดเป็นศิลปวัตถุที่มีความพิเศษยิ่งชิ้นหนึ่งของชาติเนื่องด้วยเป็นฝีพระหัตถ์ของพระมหากษัตริย์รัชกาล
 ที่สองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งได้รับยกย่องว่าทรงเป็นเลิศทางศิลปะหลายแขนง
 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงทำนุบำรุงวัดอรุณราชวรารามมาตั้งแต่เมื่อยังทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ
 ในรัชกาลที่ ๑ จากวัดแจ้งที่เป็นวัดในเขตพระราชฐานของพระราชวังเดิมกรุงธนบุรีทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ใหญ่ทั้งวัดซึ่งมาแล้ว
 เสร็จในรัชกาลของพระองค์ เมื่อสร้างพระอุโบสถแล้วทรงปั้นหุ่นพระพักตร์พระพุทธรูปด้วยฝีพระหัตถ์แล้วโปรดฯให้หล่อขึ้น
 ประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ
 ในรัชกาลต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอัญเชิญพระบรมธาตุจากพระบรมมหาราชวังมาบรรจุไว้ใน
 พระเกตุพระพุทธรูป
 เมื่อถึงรัชกาลที่ 
                      ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
 นภาลัยมาบรรจุไว้ ผ้าทิพย์ที่ฐานพระพุทธรูปจึงปรากฏตราครุฑ 
                      อันเป็นพระราชลัญจกรในรัชกาลที่ ๒ และได้ถวายนามว่า พระ
 พุทธธรรมิศราชโลกธาตุดิลก
 ในเดือนธันวาคม 
                      พุทธศักราช ๒๔๓๘ เกิดเพลิงไหม้พระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
 อยู่หัวเสด็จฯทรงบัญชาการดับเพลิงด้วยพระองค์เองโปรดฯให้เชิญพระบรมอัฐิออกจากองค์พระได้ทันท่วงทีเมื่อปฏิสังขรณ์พระ
 อุโบสถแล้วจึงอัญเชิญกลับมาบรรจุไว้อีกครั้น เมื่อพุทธสักราช 
                      ๒๔๔๑
 
 
  พระพุทธอนันตคุณอดุลยญาณบพิตร 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                               พระอุโบสถ 
                      วัดราชโอรสาราม วรมหาวิหาร ฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                         ศิลปะรัตนโกสินทร์
 ปางสมาธิ 
                      ขัดสมาธิราบ
 หน้าตัก 
                      ๓.๑ เมตร สูง ๔.๕ เมตร
 วัสดุ 
                      สำริด ลงรักปิดทอง
 
 พระพุทธรูปพระประธานวัดราชโอรสนี้ 
                      พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้สร้างขึ้นเมื่อยังทรงเป็นพระเจ้า
 ลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ในรักาลที่ ๒ ครั้งที่ทรงพระราชศรัทธาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดจอมทองริมคลองด่านซึ่งเป็นวัดเก่า
 ขึ้นใหม่ทั้งวัด เมื่อถวายเป็นพระอารามหลวงแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหน้านภาลัยพระราชทานชื่อว่าวัดราโอรส
 ขณะที่กำลังหล่อพระพุทธรูปองค์นี้ 
                      นายจอห์น ครอฟอร์ด ชาวอังกฤษที่เข้ามาติดต่อทำสัญญาระหว่างประเทศกับสยาม
 ได้มาเยี่ยมวัดราชโอรสและบันทึกถึงพระพุทธรูปองค์นี้ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
 ขณะที่เราไปนั้นวัดยังกำลังสร้างอยู่ 
                      เราโอกาสได้เห็นลำดับการก่อสร้างเช่นองค์พระประธานก็เห็นหล่อขึ้นแล้ว 
                      แต่บาง
 ส่วนวางเรียงรายอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่งรอไว้ประกอบเมื่อภายหลังได้ทราบว่าโลหะที่ใช้ในการนี้คือ 
                      ดีบุกสังกะสี ทองแดงเจือ
 ด้วยธาตุอื่นๆ อีกบ้าง โดยไม่มีส่วนแน่นอน เพราะจัดเป็นการยากอยู่บ้างที่จะกำหนดส่วน 
                      เมื่อใครๆ ก็มาทำบุญหยอดโน่นหยอดนี่
 ี่ลงไปตามแต่จะศรัทธาไม่มีการหวงห้าม องค์พระที่หล่อขึ้นเป็นตอนๆ 
                      นี้ข้างในกลวง เนื้อหนาประมาณ ๒ นิ้ว(ฟุต) เวลาเอาออก
 จากพิมพ์ดูขรุขระ แต่ข้อนี้ไม่สำคัญเพราะถึงอย่างไรก็ต้องลงรักปิดทองอีกชั้นหนึ่งจะทำเป็นพระนั่งหน้าตัก 
                      ๑๐ ฟุต ซึ่งถ้าเป็น
 พระยืนก็จะสูงถึง ๒๒ ฟุต
 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ 
                      เสด็จสวรรคตแล้วที่ฐานของพระพุทธรูปนี้ได้เป็นที่ประดิษฐานพระราช
 สรีรางคารและศิลาจารึกดวงพระชะตาโดยมีเศวตรฉัตร ๙ ชั้นกั้นเหนือองค์พระ 
                      พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถวาย
 นามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระพุทธอนันตคุณอดุลยญาณบพิตร กล่าวกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่งามโดยพุทธลักษณะอย่างยิ่งองค์
 หนึ่ง
 
 
  พระพุทธอังคีรส 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                พระอุโบสถ 
                      วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                          ศิลปะรัตนโกสินทร์
 ปางสมาธิ 
                      ขัดสมาธิราบ
 ขนาด 
                      หน้าตัก ๒ ศอกคืบหรือ ๖๐ นิ้ว
 วัสดุ 
                      สำริด กะไหล่ทองคำ
 
 พระพุทธรูปองค์นี้ 
                      มีประวัติการสร้างบันทึกไว้ต่างกันเป็น ๒ ความ ความหนึ่งสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรง
 นิพนธ์ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้หล่อขึ้นเมื่อสถาปนาวัดราชบพิธ 
                      ส่วนอีกความหนึ่งสมเด็จพระ
 สังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์นิพนธ์ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้หล่อขึ้นเพื่อนำไปประดิษฐานยัง
 พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน ถึงรัชกาลที่ 
                      ๕ โปรดฯให้กะไหล่ทองคำทั้งองค์ด้วยทองเครื่องแต่ง
 พระองค์เมื่อทรงพระเยาว์ สิ้นทองเนื้อแปด หนักถึง ๑๘๐ บาท 
                      และภายหลังเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วพระบาทสมเด็จพระมงกุฏ
 เกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้นำเศวตรฉัตรองค์ที่ใช้กั้นพระโกศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาถวายพระ
 พุทธอังคีรส โดยเสด็จฯทรงประกอบพิธียกด้วยพระองค์เอง
 ณ 
                      ใต้ฐานบัลลังก์พระพุทธอังคีรสนี้สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์โปรดให้บรรจุพระบรมอัฐิและพระ
 อัฐิในครอบครองของพระองค์ ประกอบด้วยพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 
                      พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
 เจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
                      พระอัฐิสมเด็จพระศรีสุลาลัยและ
 สมเด็จฯกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร เมื่อเรากราบพระพุทธอังคีรส 
                      นอกจากจะได้สักการะบูชาพระพุทธเจ้าแล้ว ยังเท่ากับได้
 ้ถวายสักการะพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์และพระบรมวงศ์ไปในขณะเดียวกัน
 ในวันที่ 
                      ๒๐ กันยายนของทุกปี จะมีพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่องในวันคล้ายวัน
 เสด็จพระราชสมภพ ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธฯแห่งนี้
 
 
  พระมหาพุทธพิมพ์ 
 
  
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                 วัดไชโย 
                      วรวิหาร ตำบลสระเกศ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง
 พุทธลักษณะ 
                                           ศิลปะรัตนโกสินทร์ 
                      ปางสมาธิขัดสมาธิราบ
 ขนาดหน้าตัก 
                      ๘ วา ๗ นิ้ว
 วัสดุ 
                      ก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง
 
 พระมหาพุทธพิมพ์หรือหลวงพ่อโตวัดไชโยนี้ 
                      เป็นที่เคารพนับถือในหมู่ชาวอ่างทองและจังหวัดใกล้เคียงมาก 
                      ด้วยเป็น
 พระที่สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) วัดระฆังโฆสิตาราม 
                      ฝั่งธนบุรี สมเด็จพระพุฒาจารย์หรือที่เรียกกัน
 ติดปากว่าสมเด็จโตนั้นได้สร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่โตสมนามของท่านมาก่อนนี้แล้วสององค์คือ 
                      พระนอนที่วัดสะตือ พระ
 นครศรีอยุธยา และพระยืนที่วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม
 เมื่อมาสร้างหลวงพ่อโตที่วัดไขโยนี้ 
                      แรกทีเดียวทานสร้างเป็นพระนั่งขนาดใหญ่มากก่อด้วยอิฐและดินแต่ไม่นานก็ทลาย
 ลง ท่านจึงสร้างขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ใช้วิธีเดิมแต่ลดขนาดให้เล็กลงก็สำเร็จเป็นพระปางสมาธิองค์ใหญ่ถือปูนขาว 
                      ไม่ปิดทอง ปรากฏ
 ในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า 
                      
รูปร่างหน้าตาไม่งามเลย
ปากเหมือนท่านขรัวโตไม่มีผิด
 ต่อมาเจ้าพระยารัตนบดินทร์(บุญรอด 
                      กัลยาณมิตร) สมุหนายก มีศรัทธาสร้างพระอุโบสถและพระวิหารวัดไชโย 
                      แต่เมื่อ
 กระทุ้งรากพระวิหารแรงสั้นสะเทือนทำให้องค์พระพังทลายลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้
 ้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ นายช่างฝีมือเยี่ยมสมัยนั้นมาช่วย 
                      เมื่อพิจารณาแล้วทรงให้รื้อองค์พระออกทั้งองค์
 ์แล้ววางรากฐานใหม่ใช้วิธีวางโครงเหล็กยึดไว้ภายในแล้วก่อขึ้นเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิซ้อนพระหัตถ์ตามลักษณะที่สมเด็จ
 พระพุฒาจารย์ทำไว้เดิม เมื่อแล้วเสร็จได้รับพระราชทานนามว่า 
                      พระมหาพุทธพิมพ์ ซึ่งก็คือหลวงพ่อโตวัดไชโยองค์ที่ปรากฏอยู่
 ู่จนทุกวันนี้
 ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตเป็นที่ประจักษ์กันดีในหมู่คนที่เคารพนับถือว่ากันว่าผู้ก่อกรรมทำชั่วจะไม่สามารถเข้าไป
 กราบนมัสการหลวงพ่อได้เพราะเมื่อเข้าใกล้องค์จะเห็นไปว่าหลวงพ่อกำลังจะล้มลงมาทับ 
                      น้ำมนต์ของหลวงพ่อก็กล่าวกันว่า
 ศักดิ์สิทธิ์สามารถรักษาแก้ไข้โรคเคราะห์ต่างๆ ได้ ทั้งเล่าลือกันว่าหลวงพ่อมักมาเข้าฝันผู้ที่เคารพบูชาบอกกล่าวเตือนภัยต่างๆ
 ชาวบ้านแถบนั้นจึงมักมีรูปท่านไว้กราบไหว้บูชาแทบทุกครัวเรือน
 
 
  พระพุทธจุฬารักษ์ 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                 พระอุโบสถ 
                      วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร (วัดพลับ) ฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                           ศิลปะรัตนโกสินทร์
 ปางมารวิชัย
 ขนาดหน้าตัก 
                      ๕ ศอก ๒ นิ้ว สูงจรดพระรัศมี ๖ คือ
 วัสดุ 
                      ปูนปั้นลงรักปิดทอง
 
 พระพุทธรูปองค์นี้ไม่ปรากฏเรื่องราวการสร้างที่ชัดเจนกล่าวกันมาแต่เพียงว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
 ทรงปั้นพระเศียร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปั้นพระองค์และถวายพระนามว่าพระพุทธจุฬารักษ์
 วัดราชสิทธารามหรือวัดพลับที่ประดิษฐานพระพุทธจุฬารักษ์นี้เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา 
                      เมื่อถึงกรุง
 รัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯทรงสร้างวัดใหม่ขึ้นติดกันแล้วเลยรวมวัดพลับเข้าไว้ด้วย 
                      และนิมนต์พระ
 ญาณสังวร(สุก)หรือรู้จักกันว่าสังฆราชไก่เถื่อนจากอยุธยามาจำพรรษาที่วัดใหม่นี้ 
                      พระญาณสังวร(สุก) เคยเป็นพระอาจารย์ใน
 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯมาก่อน 
                      เมื่อมาครองวัดราชสิทธารามพระบาทสมเด็จ
 พระพุทธเลิศหล้าฯ ซึ่งยังทรงเป็นกรมพระราชวังบวรฯในรัชกาลที่ 
                      ๑ ก็ได้โปรดให้สร้างพระตำหนักจันทร์ให้พระโอรสองค์
 ์ใหญ่(คือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ) จำพรรษาที่นี้เมื่อผนวชด้วย 
                      จัดว่าพระมหากษัตริย์สามพระองค์แรกในพระบรมราชจักรี
 วงศ์ทรงมีความผูกพันเคารพนับถือต่อพระอาจารย์องค์นี้อย่างยิ่ง 
                      ดังนั้นคำกล่าวเกี่ยวกับความเป็นมาและฝีมือการสร้างพระพุทธ
 จุฬารักษ์ที่ว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพรเจ้าอยู่หัวถึงสองพระองค์ 
                      จึงมีโอกาสที่จะเป็นไปได้จริงอยู่มาก
 
 
  พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลี ศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                  พระอุโบสถ 
                      วัดหน้าพระเมรู ตำบลท่าวาสุกรี
 อำเภอพระนครศรีอยุธยา 
                      จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 พุทธลักษณะ 
                                           ศิลปะอยุธยา
 ปางมารวิชัย 
                      ทรงเครื่อง
 ขนาด 
                      หน้าตัก ๔.๕ เมตร สูง ๖ เมตร
 วัสดุ 
                      สำริด ลงรักปิดทอง
 
 วัดพระเมรุราชิการาม 
                      หรือที่ผู้คนพากันเรียกจนรู้จักกันทั่วไปแล้วว่าวัดหน้าพระเมรุเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของกรุง
 ศรีอยุธยา วัดนี้ปรากฏนามเข้าไปเกี่ยวข้องกับการศึกสงครามระหว่างอยุธยากับพม่าครั้งสำคัญ 
                      อาทิ เคยเป็นที่ตั้งพลับพลาทำ
 สัญญาสงบศึกระหว่างสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์กับพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองคราวสงครามช้างเผือกก่อนเสียกรุงครั้งแรกไม่กี่ปี
 กับอีกครั้งหนึ่งเมื่อเสียกรุงครั้งหลังวัดพระเมรุฯ ก็เป็นที่ตั้งค่ายของทหารพม่า 
                      จุดหนึ่ง
 ในรัชกาลที่ 
                      ๓ แห่งกรุงรตนโกสินทร์ได้มีการบูรณะปฎิสังขรณ์วัดหน้าพระเมรุซึ่งขณะนั้นมีสภาพเป็นวัดร้างครั้งใหญ่ 
                      เมื่อแล้วเสร็จพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามพระพุทธรูปพระประธานว่าพระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลี 
                      ศรี
 สรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องต้นอย่างพระมหากษัตริย์ทรงเทริด(มงกุฏทรงเตี้ย) 
                      ไม่ทราบประวัติการสร้างที่แน่นอนแต่เป็นพระประธานที่มีอยู่แต่เดิมในวัดในรัชกาลต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
 โปรดฯให้ลงรักปิดทองประดับกระจกพระพุทธรูปองค์นี้
 พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลี 
                      ศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถนี้จัดว่าเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องที่งดงามและใหญ่ที่สุด
 ของกรุงศรีอยุธยา ที่น่าอัศจรรย์คือองค์พระดำรงรอดมาได้ตลอดเวลาหลายร้อยปีทั้งที่อยู่ท่ามกลางวิกฤติการณ์บ้านเมื่องครั้งแล้ว
 ครั้งเล่าจนคนรุ่นหลังได้มีโอกาสสักการะและชื่นชมความสูงส่งทางศิลปะที่บรรพชนทิ้งไว้เป็นมรดกในสภาพอันงดงามสมบรูณ์
      พระพุทธนาคน้อย 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน              พระวิหาร 
                      วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร ริมคลองบ้านสมเด็จฯ
 ฝั่งตะวันตกเชิงสะพานพุทธฯฝั่งธนบุรี 
                      กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                             ศิลปะสุโขทัย
 ปางมารสวิชัย 
                      ขัดสมาธิราบ
 ขนาด 
                      หน้าตักกว้าง ๘ ศอก ๑๒ นิ้วหรือ ๔.๒๕ เมตร สูง ๕.๓ เมตร
 วัสดุ 
                      โลหะนากปิดทอง
 
 พระพุทธนาคน้อยเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย 
                      สันนิษฐานว่าอัญเชิญลงมาในช่วงกรุงรัตโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งก็ยังไม่
 ่ชัดเจนว่าเป็นคราวใดระหว่างคราวที่มีการรวบรวมพระจากหัวเมืองเหนือลงมาชุดใหญ่ 
                      ๑.๒๔๘ องค์ในรัชกาลที่ ๑ หรือใน
 รัชกาลที่ ๓ ที่โปรดฯให้เชิญลงมาพระราชทานสำหรับเป็นพระประธานวัดประยุรวงศาวาสเมื่อคราวสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหา
 ประยูรวงศ์(ดิศ)สร้างวัดแห่งนี้เสร็จในราวปี ๒๓๗๔
 เหตุที่เรียกขานกันว่าพระพุทธนาคน้อย 
                      หรือหลวงพ่อนาคมีเป็นสองนัยคือ นัยหนึ่งเชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระคู่
 กันกับพระศรีศากยมุนีที่เรียกกันว่าพระพุทธนาคใหญ่ และเชิญลงมาจากกรุงสุโขทัยในคราวเดียวกัน 
                      กับอีกนัยหนึ่งเล่ากันว่าครั้ง
 นี้มีการก่อสร้างในวัด ไม้นั่งร้านไปกระแทกถูกพระพักตร์ปูนตรงพระปรางค์กะเทาะออกเห็นเนื้อนากข้างใน 
                      แต่ก็ได้พอกปูนกลับ
 ไว้ตามเดิม
 พระพุทธนาคน้อย 
                      หรือหลวงพ่อนาคนี้เป็นที่เคารพนับถือของผู้คนจำนวนมากว่ามีอัศจรรย์และอภินิหารให้เป็นที่ประจักษ์
 หลายประการชาวไทย เชื้อสายจีนพากันเรียกว่า หลักน้อยบ้าง ซำปอกงบ้างความเชื่อที่ว่าพระพุทธนาคน้อยสร้างขึ้นคู่กับพระศรี
 ีศากยมุนีก่อนที่จะมีการซ่อมแปลงในรัชกาลที่ ๑ ได้จากพุทธลักษณะของพระพุทธนาคน้อยองค์นี้
 
 
  พระพุทธไตรรัตนายก 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                พระวิหารหลวงวัดพนัญเชิง 
                      วรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 พุทธลักษณะ 
                                          ศิลปะอู่ทองตอนปลาย 
                      ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ
 ขนาด 
                      หน้าตักกว้าง ๑๔.๒๐ เมตร สูง ๑๙.๒๐ เมตร
 วัสดุ 
                      ปูนปั้นลงรักปิดทอง
 
 หลวงพ่อพนัญเชิงหรือหลวงพ่อโต 
                      หรือพระโตของชาวอยุธยาองค์นี้ ถือกันว่าเป็นพระโบราณคู่บ้านคู่เมืองกรุงศรีอยุธยา
 มาแต่แรกสร้างกรุง พงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวง ประเสริฐอักษรนิติ์ระบุว่าสร้างขึ้นเมื่อ 
                      พ.ศ. ๑๘๖๘ หรือก่อนสมเด็จพระรา
 มาธิบดีที่ ๑ สถาปนากรุงศรีอยุธยา ๒๖ ปี และเมื่อกรุงศรีอยุธยาใกล้จะแตก 
                      ปรากฏในคำให้การชาวกรุงเก่าว่า พระปฏิมากรใหญ่
 ่ที่วัดพนัญเชิงมีน้ำพระเนตรไหลเป็นที่อัศจรรย์
 หลวงพ่อพนัญเชิงเป็นที่เคารพสักการะของผู้คนตลอดจนถึงพระมหากษัตริย์มาตลอดทุกยุคทุกสมัยแม้ในสมัยกรุงรัตน
 โกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ โปรดฯให้ปฏิสังขรณ์พระโตทั้งองค์แล้วลงรักปิดทองใหม่ 
                      พระราชทานนามว่าพระพุทธไตรรัตนนายก
 ในยุครัตนโกสินทร์ได้มีเหตุเภทภัยเกิดแก่หลวงพ่อพนัญเชิง 
                      ๒ ครั้ง ครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๕ ไฟไหม้ผ้าห่มที่ห่มองค์
 พระ ทำให้องค์ชำรุดร้าวรานหลายแห่ง โปรดฯให้ซ่อมแซมกลับคืนดังเดิม 
                      เสร็จพระราชดำเนินทรงปิดทองแล้วมีสมโภช ต่อมา
 ในรัชกาลที่ ๗ องค์พระส่วนพระหนุ(คาง)พังทลายลงมาจนถึงพระปรางค์ทั้งสองข้างได้ซ่อมแซมจนเรียบร้อยภายในเวลา 
                      ๑ ปี ครั้งนั้นได้เปลี่ยนพระอุณาโลมจากทองแดงเป็นทองคำด้วย 
                      ในรัชกาลปัจจุบันมีการปฏิสังขรณ์ลงรักปิดทองใหม่ทั้งองค์ ๒ 
                      ครั้ง
 แล้วคือในปี ๒๔๙๑ กับปี ๒๕๓๔ - ๒๕๓๖ หลวงพ่อพนัญเชิงเป็นพระองค์หนึ่งซึ่งเป็นที่เคารพนัถือในหมู่ชาวจีนมากโดยเรียก
 กันว่าซำปอกง นอกจากชาวไทยแล้วยังมีผู้มีเชื้อสายจีนหลั่งไหลกันมากราบไหว้บูชาจำนวนมากและงานประจำปีใหญ่ๆ 
                      ๔ งานก็
 เป็นที่เนื่องด้วยประเพณีเสีย ๒ งาน กล่าวคือ
 ๑. 
                      งานสงกรานต์ ๑๓ เมษายน เป็นงานใหญ่มีการนมัสการและเวียนเทียนประทักษิณรอบองค์พระติดต่อกันถึง 
                      ๕ วัน
 ๒. 
                      งานสรงน้ำละห่มผ้าถวาย วันแรม ๘ ค่ำเดือนเมษายน มีการสรงน้ำและเปลี่ยนผ้าห่มผืนใหม่ 
                      ส่วนผืนเก่าที่ใช้มาตลอด ๑ ปี จะฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แจกจ่ายให้ผู้คนนำไปบูชา
 ๓. 
                      งานทิ้งกระจาดหรืองานงิ้วเดือน ๙ จะมีงิ้วและมหรสพอื่นๆ เล่นประชันกันอย่างครึกโครม 
                      จะมีผู้คนนับหมื่นหลั่ง
 ไหลกันมานมัสการนับเป็นงานทิ้งกระจาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยทีเดียว
 ๔. 
                      งานตรุษจีนเป็นงานใหญ่อีกงานหนึ่งจะมีการเปิดประตูพระวิหารหลวงไว้ทั้งวันทั้งคืนตลอด 
                      ๕ วันที่จัดงาน
 
 
  พระพุทธมหาโลกาภินันทปฏิมา 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                พระอุโบสถ 
                      วัดเฉลิมพระเกียรติ วรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี
 พุทธลักษณะ 
                                          ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น
 ปางมารวิชัย 
                      ขัดสมาธิราบ
 ขนาดหน้าตัก 
                      ๖ ศอก คืบ ๔ นิ้ว
 วัสดุ 
                      ทองแดง สงรักปิดทอง
 
 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ที่ใฝ่พระทัยในการศาสนาเป็นอย่างยิ่ง 
                      พระราชกรณียกิจที่โดด
 เด่นประการหนึ่งคือการทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาและวัดวาอารามอย่างมากมายใหญ่หลวงจนมีคำกล่าวกันว่าในรัชสมัยของ
 พระองค์ 
ใครสร้างวัดก็โปรด
เมื่อมีการขุดพบแร่ทองแดงที่อำเภอจันทึกจังหวัดนครราชสีมา 
                      ก็โปรดฯให้ถลุงและนำทอง
 แดงที่ได้ไปใช้ในการพระศาสนาก่อนเป็นอย่างแรก จึงมีการหล่อพระพุทธรูปทองแดงขึ้นสององค์ 
                      องค์หนึ่งเมื่อเสร็จโปรดฯให้
 ้เชิญไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดราชนัดดา
 ต่อมาเมื่อโปรดฯให้สร้างวัดเฉลิมพระเกียรติขึ้นที่นิวาสสถานเดิมของพระอัยกาอัยกีและที่ประสูติของพระราชชนนี
 บริเวณป้อมเก่าริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกใต้ตลาดขวัญ เมืองนนทบุรีแล้วโปรดฯให้อัญเชิญพระพุทธรูปทองแดงอีกองค์
 หนึ่งไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ แต่เสด็จสวรรคตในขณะที่การก่อสร้างวัดยังคางคา 
                      พระบาทสมเด็จพระ
 จอมเกล้าฯทรงรับเป็นพระธุระจะสำเร็จลุล่วง ทรงมีพระราชศรัทธาปิดทองพระพุทธรูปในพระอุโบสถองค์นี้และถวายนามว่า
 พระพุทธมหาโลกาภินันทปฏิมา
 
 
  พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                บริเวณพุทธอุทยาน 
                      วัดเขากงมงคลมิงมิตรปฏิฐาราม
 ตำบลลำภู 
                      อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส
 พุทธลักษณะ 
                                          ศิลปะรัตนโกสินทร์อิทธิพลอินเดียใต้ยุคโจฬะรุ่นหลังผสมกัน
 นครศรีธรรมราชหรือแบบขนมต้ม
 ปางแสดงปฐมเทศนา 
                      ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร
 พระหัตถ์ขวายกจีบเสมอพระอุระ 
                      พระหัตถ์ซ้ายวางหงาย
 ขนาดหน้าตักกว้าง 
                      ๑๗ เมตร สูง ๒๔ เมตร
 สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก
 
 เมื่อเอ่ยถึงสี่จังหวัดภาคใต้เรามักนึกถึงประชาชนชาวไทยมุสลิมและศาสนสถานสำคัญๆ 
                      ทางศาสนาอิสลาม แต่ที่
 ี่นราธิวาสซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จังหวัดนี้ ยังมีสถานที่อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่เป็นศรีสง่าแก่ภาคใต้องค์หนึ่งได้แก่ 
                      พระพุทธ
 ทักษิณมิ่งมงคล
 พุทธอุทยานเขากงซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธทักษิณมิ่งมงคลอยู่ห่างจากตัวจังหวัดนราธิวาสมาตามทางสายนราธิวาส
 ตันหยงมัสเพียง ๘ กิโลเมตร บริเวณเขากงนี้เชื่อได้ว่าคงเคยมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามาก่อนเนื่องจากได้สำรวจพบ
 ร่องรอยโบราณสถานโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาหลายสิ่งประกอบกับในสมัยปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์อยู่แล้ว
 พุทธศาสนิกชนจึงดำริพร้อมกันที่จะสร้างสิ่งสำคัญทางพุทธศาสนาไว้เป็นมิ่งขวัญและเป็นที่สักการะบูชาของภาคใต้ 
                      การ
 ก่อสร้างได้เริ่มขึ้นในปี ๒๕๐๙ แล้วเสร็จในปี ๒๕๑๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จพระราชดำเนินทรงบรรจุพระบรม
 สารีริกธาตุเมื่อปี ๒๕๑๓
 พระพุทธทักษิณมิ่งมงคลเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่มีพุทธลักษณะงดงาม 
                      ประกอบกับประดิษฐานอยู่ยอดเขาจึงสูงเด่น
 เป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธา ทั้งยังเป็นเครื่องหมายแห่งการอยู่ร่วมกันโดยสันติระหว่างพุทธศาสนาและศาสนาอิสลามในภาคใต้ของ
 ประเทศไทยด้วย
 
 
  พระพุทธเทววิลาส 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                 พระอุโสถ 
                      วัดเทพธิดาราม วรวิหาร กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                           ศิลปะเชียงแสนผสมสุโขทัย
 ปางมารวิชัย 
                      ขัดสมาธิเพชร
 ขนาดหน้าตักกว้าง 
                      ๑๔ นิ้ว สูง ๒๐ นิ้ว
 วัสดุ 
                      หินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์
 
 ในพระรมมหาราชวัง 
                      กรุงเทพมหานคร นอกจากพระพุทธรูปองค์ต่างๆ ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว 
                      ยังมีพระพุทธ
 รูปสำคัญประดิษฐานอยู่อีกเป็นจำนวนมาก พระพุทธรูปดังกล่าว 
                      ล้วนเป็นพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรม
 ราชจักรีวงศ์ทุกรัชกาล ทรงสร้างขึ้นหรือทรงได้รับมาตามโอกาสต่างๆ 
                      พระพุทธรูปเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นศิลปะอันล้ำค่า ใน
 เหตุการณ์สำคัญหรือโอกาสพิเศษยิ่งเท่านั้นที่จะมีการพระราชทานพระพุทธรูปบางองค์ออกมานอกวังและเหตุการณ์สำคัญครั้ง
 หนึ่งที่ว่านี้คือเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๒ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน 
                      หลวงพ่อขาวเพื่อให้เป้นพระประธาน วัด
 เทพธิดาราม
 หลวงพ่อขาวองค์นี้เป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์นับเป็นศิลปวัตถุที่งดงามและหาชมได้ยากไม่ปรากฏ
 ที่มา ทราบแต่เพียงว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ 
                      ให้อัญเชิญจากพระบรมมหาราชวังไปประดิษฐานเป็นพระ
 ประธานในพระอุโบสถวัดเพทธิดารามอันเป็นวัดซึ่งสร้างพระราชทานกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ 
                      พระราชธิดาพระองค์ใหญ่แล้ว
 เสร็จเมื่อปี ๒๓๘๒
 หลวงพ่อขาวเมื่อพระราชทานมาเป็นพระประธานวัดเทพธิดารามประดิษฐานอยู่ในเวชยันต์บุษบกไม้จำหลักลายปิดทอง
 ประดับกระจกงดงามอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันถวายนามว่า 
                      พระพุทธเทววิลาส ซึ่งนอกจากจะมีความ
 หมายอันแสดงถึงความงามแล้ว ยังเป็นนามที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพระนามเดิมของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพคือ 
                      พระเจ้าลูกเธอ
 พระองค์หญิงวิลาสอีกด้วย
 
 
  พระพุทธนรเชษร์ เศวตอัศมมัยมุนี ศรีทวารวดีปูชนียบพิตร 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                  บริเวณลานชั้นลด 
                      ด้านทิศใต้ขององค์พระปฐมเจดีย์
 วัดพระปฐมเจดีย์ 
                      ราชวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
 พุทธลักษณะ 
                                            ศิลปะทวารวดี
 ปางแสดงปฐมเทศนา 
                      ประทับนั่งห้อยพระบาท
 พระหัตถ์ขวายกจีบเสมอพระอุระ 
                      พระหัตถ์ซ้ายวางแตะพระชานุ
 ขนาดสูง 
                      ๑๔๘ นิ้ว หรือ ๓.๗๖ เมตร
 วัสดุ 
                      ศิลาขาว
 
 พระพุทธนรเชษฐ์ฯ 
                      หรือหลวงพ่อขาวของชาวบ้านนองค์นี้มีประวัติความเป็นมาที่ออกจะพิศดารและระหกระเหินอยู่ไม่
 น้อย
 เรื่องราวเริ่มขึ้นจากเมื่อกรมศิลปากรทำการสำรวจขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดทุ่งพระเมรุหรือวัดพระเมรุ 
                      จังหวัดนครปฐม
 เมื่อปลายปี ๒๔๘๑ ถึงปี ๒๔๘๒ ได้พบสถูปสมัยทวารวดีองค์ใหญ่มีร่องรอยว่ามีมุขประจำ 
                      ๔ ทิศ และในแต่ละมุขทิศเคยมี
 ีพระพุทธรูปขนาดใหญ่นั่งห้อยพระบาทประจำอยู่
 เมื่อสืบความดูก็ทราบว่าในสมัยรัชกาลที่ 
                      ๔ ได้มีการขุดพบพระพุทธรูปที่ว่านี้แล้วองค์หนึ่งได้อัญเชิญไปเป็นประธานที่วัด
 พระปฐมเจดีย์ ต่อมาในรัชกาลที่ ๕ ก็ได้พบชิ้นส่วนพระพุทธรูปแบบเดียวกันอีกจำนวนหนึ่งจึงมีการรวบรวมไปเก็บรักษาไว้ที่
 ี่พระระเบียงคดด้านนอกองค์พระปฐมเจดีย์ซึ่งก็ยังไม่ครบจำนวนสี่องค์ที่ควรจะปรากฏ 
                      ถึงปี ๒๕๐๑ กรมศิลปากรจึงติดตามพบ
 ว่าพระพุทธรูปองค์หนึ่งถูกเชิญไปไว้ยังวัดพระยากง ตำบลสำเภาล่ม 
                      จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพบชิ้นส่วนองค์พระอีก
 จำนวนหนึ่งจากวัดขุนพรหม ตำบลเดียวกันรวมทั้งพบเศียรพระที่ร้านค้าของเก่าอีก 
                      ๒ ร้าน
 หลังจากรวบรมพระพุทธรูปและชิ้นส่วนที่มีอยู่ทั้งหมดมาแล้วจึงนำมาประกอบกันขึ้นได้เป็นพระพุทธรูปศิลาขาว 
                      ๓ องค์ เชิญไปไว้ยังพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติเจ้าสามพระยา ๑ 
                      องค์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ๑ องค์และที่บริเวณลานขั้นลด
 ด้านทิศใต้ พระปฐมเจดีย์อีก ๑ องค์ ซึ่งได้รับขนานนามโดยเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ขณะนั้น(พ.ศ. 
                      ๒๕๑๐)ว่า พระพุทธ
 นรเชษฐ์ เศวตอัศมมัยมุนี ศรีทวารวดีปูชนียบพิตร
 
 
  พระพุทธนฤมลธรรโมภาส 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                  พระอุโบสถ 
                      วัดนิเวศธรรมประวัติ ราชวรวิหาร ท้ายเกาะลอย
 หน้าพระราชวังบางปะอิน 
                      จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 พุทธลักษณะ 
                                            ศิลปะรัตนโกสินทร์
 ปางสมาธิ 
                      ขัดสมาธิเพชร
 ขนาดหน้าตัก 
                      ๒๒ นิ้วครึ่ง สูง ๓๖ นิ้วครึ่ง
 วัสดุ 
                      โลหะกะไล่ทองทั้งองค์พระและฐาน
 
 พุทธศาสนิกชนที่อยากเข้าวัดให้ได้บรรยากาศ 
                      ฝรั่ง ขอให้ลองมาที่วัดนิเวศธรรมประวัติที่บางปะอินดู วัดนี้เป็นวัดที่
 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้นในช่วงต้นๆ 
                      ของรัชกาลไว้สำหรับทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อเสด็จฯ
 ประทับยังพระราชวังบางประอิน
 ที่พิเศษก็คือโปรดฯให้สร้างโบสถ์วิหารเสนาสนะเป็นแบบสถาปัตยกรรมยุโรปทั้งหมดด้วยทรงตั้งพระทัยให้เป็นพุทธบูชา
 ด้วยของแปลกประหลาด กับทั้งเพื่อให้ประชาชนได้ชมเล่นว่าไม่เหมือนวัดอื่นใดในประเทศไทย
 พระอุโบสถนั้นสร้างตามแบบวัดคริสต์ศาสนาเลยทีเดียว 
                      เป็นศิลปะแบบโกธิค (Gothic) คือทรวดทรงสูงระหงมียอด
 แหลมเพดานโค้ง บานประตูหน้าต่างเป็นกระจกสลับสีหรือ Stained 
                      Glass เมื่อรูปทรงและบรรยากาศของโบสถ์เป็น ฝรั่ง
 เช่นนี้แล้ว พระพุทธรูปพระประธานก็มีลักษณะที่เจือความเป็นฝรั่งอยู่ด้วยเช่นกัน 
                      พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
 โปรดฯให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการทรงออกแบบปั้นหุ่นและหล่อขึ้น 
                      โดยผสานศิลปะแบบประเพณีนิยมกับ
 ศิลปะตะวันตกเข้าด้วยกันได้เป็นพระพุทธรูปที่งดงามอย่างยิ่งและมีพุทธลักษณะคล้ายมนุษย์สามัญมากขึ้นได้รับพระราชทาน
 นามว่า พระพุทธนฤมลธรรโมภาส ซึ่งจัดเป็นงานชิ้นเอกของพระองค์เจ้าประดิษฐวรการ 
                      แม้ภายหลังจะโปรดฯ ให้สร้างพระ
 พุทธรูปให้งามเช่นนี้อีกก็ทำไม่ได้ จนว่ากันว่า ทรงสิ้นฝีมือ 
                      แล้วที่พระพุทธนฤมลธรรโมภาสที่วัดนิเวศธรรมประวัตินอกจากจะ
 ได้ชมพระอารามที่งดงามแปลกตาแห่งหนึ่งแล้วยังจะได้ชมพระพุทธรูปที่เป็นสุดฝีมือของนายช่างเอกท่านหนึ่งแห่งกรุงรัตน
 โกสินทร์ด้วย
 มีงานประเพณีไหว้พระในวันแรม 
                      ๑๒ ค่ำเดือน ๑๑ ของทุกปี
 
 
  พระพุทธนฤมิตร 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                   บุษบกยอดปรางค์ 
                      ผนังด้านหน้าพระอุโบถ วัดอรุณราชวราราม
 ฝั่งธนบุรี 
                      กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                             ศิลปะรัตนโกสินทร์
 ปางห้ามสมุทร 
                      ทรงเครื่องต้นอย่างจักรพรรดิราช
 ขนาดสูง 
                      ๙๘ นิ้ว ฐานสูง ๔๖ นิ้ว
 วัสดุโลหะ 
                      ลงรักปิดทอง
 
 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
                      ให้ปฏิสังขร์วัดอรุณราชวรา
 รามอันเป็นวัดประจำรัชกาลในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระราชบิดาสิ่งหนึ่งที่โปรดฯให้สร้างเพิ่มเติมคือบุษบก
 ยอดปรางค์ที่ผนังมุขพระอุโบสถด้านหน้าสำหรับจะประดิษฐานพระพุทธรูปที่จำลองจากพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 
                      ๒
 ที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่สิ้นรัชกาลไปเสียก่อน
 รัชกาลต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงดำรงสิริราชสมบัติครบ 
                      ๕๔๓๑ วันเท่ากับพระบาท
 สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชดำริจะทรงบำเพ็ญการอันเป็นราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระอัยกาธิราช(ปู่) 
                      เมื่อทรง
 ทราบการที่ค้างอยู่นี้จึงโปรดฯให้สร้างต่อจนสำเร็จและพระราชทานนามพระพุทธรูปที่จำลองจากพระพุทธรูปฉลองพระองค์
 รัชกาลที่ ๒ ที่นำมาไว้ที่วัดอรุณราชวรารามนี้ว่า พระพุทธนฤมิตร
 
 
  พระพุทธปฏิมากร 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                  พระอุโบสถ 
                      วัดหนัง ราชวรวิหาร
 ฝั่งขวาของคลองด่าน 
                      เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                            ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย
 ปางมารวิชัย
 ขนาดหน้าตัก 
                      ๑.๘๐ เมตร ๒.๕๐ เมตร
 วัสดุ 
                      สำริด ปิดทอง
 
 พระพุทธปฏิมากรองค์นี้เป็นพระที่นร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยตอนปลายโดยมีข้อความจารึกไว้ที่ฐานอย่างชัดเจนว่าสร้าง
 เมื่อ 
ศาสนาได้ ๑๙๖๖
 ซึ่งก็คือพุทธศักราช ๑๙๖๖ นั่นเอง 
                      โดยผู้สูงศักดิ์หลายท่านได้แก่ 
พ่อพระยาเจ้าไทย พ่อขุน พ่อเม
 ดธาเจ้า
 แม้จะมีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องราวและยุคสมัยของการสร้างที่ย้อนกลับไปถึงสมัยกรุงสุโขทัยอย่างแน่นอนชัดเจน 
                      แต่เหตุที่
 พระพุทธรูปองค์นี้จะมาประดิษฐานอยู่ที่วัดหนังนี้เมื่อใดและอย่างไรกลับเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการสันนิษฐานจากเหตุแวดล้อม
 กล่าวคือ เมื่อสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระราชชนนีในรัชกาลที่ 
                      ๓ ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดหนังทั้งพระอารามในช่วงประมาณปี
 ๒๓๖๗ ถึงปี ๒๓๗๘ นั้น พระพุทธปฏิมากรประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ในพระอุโบสถแล้วทำให้สันนิษฐานกันว่าพระ
 พุทธปฏิมากรอาจจะเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปกว่าหนึ่งพันสองร้อยองค์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดฯ
 ให้รวบรวมอัญเชิญลงมาจากหัวเมืองเหนือในรัชกาลของพระองค์เพื่อมาประดิษฐานตามพระอารามต่างๆ 
                      ทั่วพระนคร
 ฐานที่รับแท่นพระพุทธรูป 
                      เป็นฐานหนุนสองชั้น ตั้งพระสาวก ๕ องค์ คือฐานตอนบน ๒ องค์ 
                      ฐานตอนล่าง ๓ องค์ หมาย
 ถึง พระปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ องค์ได้แก่ พระอัญญาโกณทัญญะ พระภัททิยะ 
                      พระวัปปะ พระมหานามะและพระอัสสชิ
 
 
  พระพุทธรูปศิลาขาว 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                 พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ 
                      ราชวรมหาวิหาร
 อำเภอเมือง 
                      จังหวัดนครปฐม
 พุทธลักษณะ 
                                           ศิลปะทวารวดี
 ปางแสดงปฐมเทศนา
 ขนาดสูง 
                      ๑๔๘ นิ้ว
 วัสดุ 
                      ศิลาขาว
 
 พระพุทธรูปศิลาขาวเป็นพระพุทธรูปในชุดเดียวกันกับพระพุทธนรเชษฐ์เศวตอัศมมัยมุนีฯ 
                      ที่ได้กล่าวถึงแล้วเดิมพระพุทธ
 รูปชุดนี้เคยประดิษฐานอยู่ในมุขทิศ ๔ ด้านของพระสถูปยุคทวารวดีที่วัดทุ่งพระเมรุ 
                      หรือวัดพระเมรุจังหวัดนครปฐม ในปลาย
 รัชกาลที่ ๔ พระเณรชาวบ้านไปช่วยกันขนอิฐจากวัดทุ่งพระเมรุซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้างแล้วมาใช้บูรณะพระปฐมเจดีย์ได้พบจอม
 ปลวกขนาดใหญ่มีพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปโผล่พ้นยอดขึ้นมาเมื่อช่วยกันทำลายจอมปลวกออกก็พลพระพุทธรูปศิลาองค์นี้
 พระพุทธรูปศิลาองค์ที่พบอยู่ในจอมปลวกนี้เป็นองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดในกระบวน 
                      ๔ องค์ และพระพุทธรูปศิลาขาวอายุกว่า
 หนึ่งพันปีชุดนี้สร้างไว้ให้ถอดได้เป็นส่วนๆ เมื่อมีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายก็สามารถถอดออกให้เคลื่อนย้ายจากสถานที่พบมายัง
 วัดพระปฐมเจดีย์และเมื่อมีการ สร้างพระอุโบสถใหม่ในปี ๒๔๗๑ 
                      จัดเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่และมีประวัติความเป็นมาน่าศึกษา
 และมีพุทธลักษณะที่น่าดูน่าชมยิ่งองค์หนึ่ง
 
 
  พระพุทธเสฏฐมุนี 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                ศาลาการเปรียญ 
                      วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                          ศิลปะรัตนโกสินทร์
 ปางมารวิชัย
 ขนาด 
                      หน้าตัก ๑ ศอก ๑ คืบ ๑ นิ้ว
 วัสดุทองเหลือง
 
 ในยุคสมัยที่สังคมโลกเริ่มตื่นตัวใส่ใจกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเช่น 
                      ปัจจุบันการนำวัสดุที่ยังใช้ได้กลับมาใช้อีกเป็นหน
 ทางหนึ่งที่มีการรณรงค์กันทั่วไป
 ในเมืองไทยของเราเมื่อเกือบสองร้อยปีที่แล้วก็มีความคิดในการทำเช่นว่านี้ 
                      และปรากฏวัตถุพยานมาจนทุกวันนี้
 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีประกาศห้ามสูบฝิ่นและมีการปราบปรามฝิ่นอยู่เนืองๆ 
                      ในการปราบ
 ปรามครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งเมื่อปี ๒๓๘๒ เป็นการกวาดล้างฝิ่นในภาคใต้ตั้งแต่เมืองปราณบุรี 
                      ถึงนครศรีธรรมราช และอีกด้านหนึ่ง
 ของฝั่งทะเลคือตะกั่วป่าถึงถลาง สามารถจับฝิ่นดิบมาได้ถึง 
                      ๓๗๐๐ กว่าหาบฝิ่นสุก ๒ หาบ ตัวฝิ่นนั้นโปรดฯให้เผาทำลายที่หน้า
 พระที่นั่งสุทไธสวรรย์เหลือแต่กลักฝิ่นซึ่งทำด้วยทองเหลืองอยู่จำนวนมาก 
                      โปรดฯให้นำมาหล่อพระพุทธรูปได้พระขนาดหน้าตัก
 ถึง ๔ ศอก นำมาประดิษฐานเป็นพระประธานในศาลาการเปรียญ วัดสุทัศนเทพวรารามต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
 ถวายพระนามว่า พระพุทธเสฏฐมุนี
 จากบรรจุภัณฑ์ของสิ่งผิดกฏหมายกลายมาเป็นพระพุทธรูปซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดีที่คงอยู่เพื่อให้พุทธ
 ศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชามาเกือบสองร้อยปีนับว่าเป็นการใช้ประโยชน์วัสดุอย่างคุ้มค่าและยืนยงอย่างแท้จริง
 
 
  พระพุทธโสธร 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                 พระอุโบสถวัดโสธรวราราม 
                      วรวิหาร อำเอเมือง ฉะเชิงเทรา
 พุทธลักษณะ 
                                          ฝีมือช่างแบบล้านช้าง 
                      หรือที่เรียกกันว่า พระลาว ปางสมาธิ
 หน้าตัก 
                      ๑ เมตร ๖๕ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๙๘ เซนติเมตร
 วัสดุ 
                      สำริด พอกปูนลงรักปิดทอง
 
 พระพุทธรูปสำคัญๆ 
                      หลายองค์ของไทยมักมีประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับปาฏิหาริย์บางประการ 
                      ประการหนึ่งได้แก่
 การ ลอยน้ำมา พระพุทธโสธรหรือที่ผู้คนทั่วไปมักเรียกกันว่า 
                      หลวงพ่อโสธร ก็เป็นพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งที่มีความเป็นมา
 เช่นว่านี้
 ตำนานของหลวงพ่อโสธรที่ได้ยินกันอยู่เสมอๆ 
                      จะเป็นเรื่องพระพุทธรูปสามองค์พี่น้องที่ลอยน้ำมาจากทางเหนือแล้วได้
 รับอาราธนาขึ้นประดิษฐานยังวัดต่างๆ กันคือ วัดโสธร วัดบ้านแหลมและวัดบางพลีใหญ่ 
                      ในตำนานนี้อาจมีรายละเอียดแตกต่าง
 กันไปบ้างเช่นเรื่องจำนวนพระพุทธรูปที่บางครั้งก็เป็นห้าองค์พี่น้องโดยรวมเอาหลวงพ่อวัดไร่ขิงและวัดเขาตะเคราไว้ด้วย
 จากคำบอกเล่าของชาวเมืองแปดริ้ว 
                      หลวงพ่อโสธรองค์เดิมที่ลอยน้ำมานั้นเป็นพระปางสมาธิขนาดไม่ใหญ่นัก 
                      บ้างก็ว่า
 หน้าตักคืบเศษแกะจากไม้ฝีมือหยาบ บ้างก็ว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดหน้าตักศอกเศษ 
                      ลอยตามลำน้ำบางปะกงมาจากทางตอน
 เหนือ เมื่ออาราธนาขึ้นยังวัดโสธรและเริ่มมีกิตติศัพท์แพร่หลายเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนแล้ว 
                      ทั้งพระเณรชาวบ้านก็เริ่มวิตกว่า
 จะมีผู้มาลักพระพุทธรูปไปจึงสร้างพระจำลองแบบไม้ธรรมดาครอบองค์พระจริงไว้ 
                      ต่อมาได้มีการทำดังนั้น ซ้ำอีกและท้ายที่สุด
 ได้ใช้ปูนพอกทับแน่นหนาจนมีขนาดและรูปทรงดังที่ปรากฏในปัจจุบัน
 ความศักดิ์สิทธิ์ของพลวงพ่อโสธรเป็นที่เลื่องลือเล่าขานกันมากมายครั้งหนึ่งที่เกิดโรคระบาดขึ้นเมื่อมีการบนบานหลวง
 พ่อ โรคร้ายแรงนั้นก็ยุติลงได้อย่างอัศจรรย์ หลวงพ่อยังเป็นที่นับถืออย่างยิ่งเมื่อมีการบนบานหลวงพ่อ 
                      โรคร้ายแรงนั้นก็ยุติลงได้
 อย่างอัศจรรย์ หลวงพ่อยังเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในหมู่ชาวเรือถือว่าหากได้ 
                      บอก หลวงพ่อแล้วจะซื้อง่ายขายคล่อง พระบาท
 สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินยังวัดโสธรฯต่อมาโปรดเกล้าฯให้ข้าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราทำพิธีถือน้ำ
 พระพิพัฒน์สัตยาต่อหน้าพระพุทธโสธรในพระอุโบสถ จากเดิมที่เคยทำที่วัดเมือง(วัดปิตุลาธิราชสฤษดิ์)
 กิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธรเป็นที่แพร่หลายไม่แต่เพียงในจังหวัดฉะเชิงเทราดังจะเห็นได้จากจำนวน
 ผู้คนที่หลั่งไหลไปกราบไหว้บูชาหลวงพ่อจากทุกสารทิศแม้จากต่างประเทศจนกระทั่งวัดโสธรฯกลายเป็นวัดใหญ่โตด้วยกำลัง
 ศรัทธาจากผู้เคารพนับถือเหล่านี้
 
 
  พระพุทธไสยาสน์ 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                  พระวหารพระพุทธไสยาสน์ 
                      วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม 
                      ราชวรมหาวิหาร
 ท่าเตียน 
                      กรุงเทพมหานคร
 พุทธลักษณะ 
                                            ศิลปะรัตนโกสินทร์
 ปางไสยาสน์
 ขนาดยาว 
                      ๙๐ ศอกหรือ ๑ เส้น ๒ วา ๒ ศอก
 วัสดุ 
                      ก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง
 
 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ที่ใฝ่พระทัยในทางพุทธศาสนาอย่างยิ่งพระองค์ทรงสร้างและ
 บูรณปฏิสังขรณ์ศิลปวัตถุและสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับการพุทธศาสนาไว้เป็นจำนวนมากมายคราวหนึ่งทรงพระดำริว่าได้ทรง
 สร้างพระปางต่างๆไว้ตามวัดวาอารามทั้งหลาย หลายต่อหลายปางแล้วยังขาดพระพุทธไสยาสน์ 
                      หรือพระนอน จึงโปรดฯให้
 สร้างพระพุทธไสยาสน์ขึ้นที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามโดยขยายพื้นที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามออกมา 
                      สร้างพระวิหาร
 พระพุทธไสยาสน์ลงในอาณาบริเวณที่เคยเป็นวังกรมหลวงนรินทรเทวี(พระองค์เจ้ากุ)
 พระพุทธไสยาสน์องค์นี้จัดเป็นพระพุทธรูปที่ได้รับยกย่องว่า 
                      งานเป็นเอกในกระบวนพระนอนขนาดใหญ่ โปรดฯให้กรม
 หมื่นภูมินทรภักดีซึ่งทรงกำกับกรมช่างสิงหมู่อยู่ในเวลานั้นเป็นผู้ทรงกำกับการ 
                      ก่อสร้างโดยโปรดฯให้จำหลักลายมงคล ๑๐๘ ประดับมุกที่พื้นพระบาทของพระไสยาสน์เพื่อให้ถูกต้องตามตำรามหาปริสลักษณะจัดเป็ฯงานประดับมุกที่แสดงฝีมือช่างอันสูง
 ส่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
 ์          กล่าวกันว่าหากจะชมความงามของพระไสยาสน์องค์นี้ให้ยืนดูจากเบื้องพระบาทจะมองเป็นพระเกตุจรดเพดาน 
                      พระ
 พักตร์งามจับตาจับใจเป็นอย่างยิ่ง
 
 
  พระพุทธไสยาสน์ 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                  พระวิหาร 
                      วัดพระนอนจักรสีห์ วรวิหาร ตำบลจักรสีห์ 
                      อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
 ี          พุทธลักษณะ 
                                           ศิลปะอยุธยาตอนต้น
 ปางไสยาสน์
 ขนาดยาว 
                      ๑ เส้น ๓ วา ๒ ศอก ๑ คืบ ๗ นิ้ว
 วัสดุ 
                      ปูนปั้น
 
 พระพุทธไสยาสน์วัดพระนอนจักรสีห์ 
                      กรือหลวงพ่อพระนอนจักรสีห์เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่องค์หนึ่งซึ่งไม่ปรากฏหลัก
 ฐานการสร้างที่แน่นอน สันนิษฐานจากพุทธลักษณะว่าคงสร้างขึ้นในยุคสมัยใกล้เคียงกันกับพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก 
                      จังหวัด
 อ่างทอง คือ ในราวต้นสมัยกรุงศรีอยุธยา
 พระพุทธไสยาสน์ 
                      หรือพระนอนจักรสีห์นี้ ปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระราชพงศาวดารช่วงปลายกรุงศรีอยุธยาว่าได้มีการ
 บูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเมื่อปี 
                      ๒๒๙๗ และสองปีต่อมาเมื่อการบูรณะเสร็จสิ้นมีการสมโภช
 พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จฯประทับแรม ณ วัดพระนอนจักรสีห์แห่งนี้เป็นเวลา 
                      ๓ คือ
 ในสมัยรัชกาลที่ 
                      ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินยังวัดนี้และพระราชทานเงินค่านา
 ของวัดและของเมืองสิงห์ให้บูรณะปฏิสังขรณ์พระพุทธไสยาสน์ด้วย
 เมื่อนึกถึงว่าพระพุทธไสยาสน์วัดพระนอนจักรสีห์เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วในสมัยที่
 ี่เครื่องจักรเครื่องทุ่นแรงยังไม่มีใช้กันเช่นปัจจุบันก็พอจะทำให้เราเห็นถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนไทยในอดีต
 อย่างยิ่งใหญ่เพียงใดได้เป็นอย่างดี
 วัดได้จัดให้มีงานนมัสการพระพุทธไสยาสน์ขึ้นปีละ 
                      ๓ ครั้ง คือ
 วันขึ้น 
                      ๑๔ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
 วันแรม 
                      ๗ ถึงแรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๐
 วันขึ้น 
                      ๑๔ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
 
 
  พระพุทธไสยาสน์ 
 
   
 สถานที่ประดิษฐาน 
                                  วิหารพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก 
                      วรวิหาร
 อำเภอป่าโมก 
                      จังหวัดอ่างทอง
 พุทธลักษณะ 
                                           ศิลปะอยุธยาตอนต้น
 ปางไสยาสน์
 ขนาด 
                      ยาว ๑๒ วา
 วัสดุ 
                      ปูนปั้น ลงรักปิดทอง
 
 พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกนี้ 
                      มีความเป็นมาที่คล้ายคลึงกับพระพุทธไสยาสน์วัดพระนอนจักรสีห์ 
                      คือไม่ปรากฏหลักฐาน
 การสร้างที่ชัดเจน แต่สันนิษฐานจากพุทธลักษณะว่าเป็น พระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนต้นและมาปรากฏเรื่องราวการบูรณะปฏิ
 สังขรณ์ในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน
 เรื่องราวของพระนอนวัดป่าโมกปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระว่าองค์พระนั้นประดิษฐานอยู่ใน
 วิหารริมแม่น้ำ อยู่มาน้ำได้เซาะตลิ่งจนเกือบจะถึงพระวิหาร 
                      พระเจ้าท้ายสระจึงโปรดฯให้ทำการชะลอพระพุทธรูปให้ออกห่าง
 จากแม่น้ำซึ่งการดังกล่าวนี้เป็นงานใหญ่และยากลำบากอย่างยิ่งปรากฏว่าพระยาราชสงครามรับอาสาทำการได้สำเร็จเรียบร้อยใน
 ปี ๒๒๗๕ แต่ยังไม่ทันได้ฉลองก็สิ้นรัลกาลเสียก่อนการฉลองได้มาทำในรัชกาลต่อมาคือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศซึ่งได้มีโคลงพระ
 ราชนิพนธ์พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เมื่อครั้งยังทรงเป็นกรมพระราชวังบวรในรัชกาลก่อน 
                      เรื่องการชะลอพระพุทธไสยาสน์
 ปรากฏอยู่ในพระวิหารด้วย
 พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกมาปรากฏเรื่องราวอีกครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่เมื่อมีเรื่องโจษจัน
 กันว่าพระนอนวัดป่าโมกที่เมืองอ่างทองพูดได้ โดยมีพยานยืนยันทั้งพระและฆราวาส 
                      โดยความทราบถึงพระเนตรพระกรรณทั้ง
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ยังได้เฝ้ากราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระ
 จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จพระราชดำเนินยังวัดป่าโมกด้วย
 มีงานนมัสการพระพุทธไสยาสน์ประจำปีๆ 
                      ละ ๒ ครั้ง
 วันขึ้น 
                      ๑๔ ค่ำ ถึง แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน
 วันขึ้น 
                      ๑๒ ค่ำ ถึง แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นเวลา ๕ วัน ๕ คืน
 |